🇷🇺 Lake Baikal : Frozen Wonderland 🇷🇺

…ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติล้วนไม่เคยสิ้นสุด…หลากหลายเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในวันนี้อาจส่งผลให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นในอนาคต.. แต่ก็ยังมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านวันเวลามาแล้วนับร้อยนับพันปีหรือย้อนไปมากกว่านั้นอีกหลายสิบล้านปี.. เช่นเดียวกับผลของธรรมชาติ ณ ที่แห่งนี้ ที่เริ่มต้นย้อนกลับไปราว 20 กว่าล้านปีในอดีตจนทำให้ทะเลสาบผืนนี้เป็นทะเลสาบที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก .. และอัลบั้มนี้คืออีกหนึ่งโลกมหัศจรรย์ที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสมา “ทะเลสาบไบคาล ประเทศรัสเซีย”…


• Where is Lake Baikal? •

…เกริ่นไปนิดนึงแล้วข้างต้น และก็เชื่อว่าหลายคนที่เปิดมาอ่านเจอบทความนี้เข้าก็คงพอทราบกันดี แต่ก็อยากลงไว้อีกสักหน่อยเผื่อใครไม่รู้ หรืออยากเห็นภาพชัดเจนขึ้นให้ดูแผนที่ด้านล่างได้เลยจะเห็นว่าจากประเทศไทยขึ้นไปทางเหนือตรงดิ่งไปเรื่อย ๆ เหมือนขีดเส้นตรงลากขึ้นผ่านประเทศลาว ผ่านประเทศจีน มองโกเลีย เข้าสู่พื้นที่ของประเทศรัสเซียไปอีกสักหน่อยนั่นแหละคือที่ตั้งของทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลกแห่งนี้


• When to go? •

…ถ้าว่ากันตามจริงที่ทะเลสาบแห่งนี้ก็มาได้ทุกฤดูกาลจะต่างกันไปก็คือว่ามาช่วงไหนแล้วได้เจออะไรถ้าในช่วงหน้าร้อน หรือช่วงสภาพอากาศปกติ ผืนน้ำแข็งที่เคยจับตัวหนาแน่นจนรถลงไปวิ่งแล่นได้ก็จะละลายกลายเป็นผืนน้ำเป็นทะเลสาบที่มีสภาพโดยรอบเป็นต้นไม้ใบหญ้า ที่พักอาศัยของคนที่อยู่ที่นี่.. แต่ช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์ที่คนให้ความสนใจ และนิยมเดินทางกันมามากกว่าในช่วงอื่น และดูจะเป็นเอกลักษณ์เป็นภาพชินตามากกว่าช่วงไหน ๆ ก็คือช่วงที่ผืนน้ำทั้งหมดถูกความหนาวเย็นจับตัวให้ผืนน้ำขนาดใหญ่กลายเป็นผืนน้ำแข็งที่มีความหนาวของแผ่นน้ำแข็งราวเกือบ ๆ 1 – 2.5 เมตร(5-6 ฟุต) โดยสามารถรับน้ำหนักที่จะอยู่บนผืนน้ำแข็งได้ตั้งแต่ 10 – 15 ตัน (แต่บางตำแหน่งบางพื้นที่ก็อาจไม่ได้รับน้ำหนักได้มากเท่านี้แล้วแต่กันไป)

…ส่วนช่วงเวลาที่น้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งจนสามารถลงไปเดินเล่นได้นั้นอยู่ที่ช่วงราวเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม (คือช่วงมกราคมแม้สภาพอากาศจะหนาวเย็นแล้วก็ตามแต่บางทีน้ำในทะเลสาบก็ยังไม่แข็งหนาแน่นพอที่จะเอารถลงไปได้) เรียกว่าถ้าเอาชัวร์ ๆ ก็เดือนกุมภามีนานั่นแหละครับ.. 


• How to go? •

…ไม่ว่าระยะทางจะไกลแค่ไหนก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับขาลุยขาเที่ยว คนรักการเดินทาง แต่หากมันจะสบายสุดก็คือมีสายการบินที่บินตรงไปได้เลยนั่นคือสิ่งวิเศษ… และหนทางนั้นก็มีให้เราเลือก(น่าจะเป็นทางเดียวที่สะดวกสุด)ก็คือจองตั๋วเครื่องบินของสายการบิน S7 Airlines เป็นสายการบินของรัสเซียที่เปิดรูท กรุงเทพ(สุวรรณภูมิ) > เมืองเอียร์คุตส์(ประเทศรัสเซีย) ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินเมืองเอียร์คุตส์ จากนั้นก็เดินทางนั่งรถต่ออีก 5-7 ชั่วโมงไปยังทะเลสาบไบคาล ณ เกาะ Olkhon Island ซึ่งเราเองก็ต้องพักที่นี่ด้วยเช่นกัน (เรื่องที่พักขอข้ามไปเลยนะครับ เพราะเข้าเวปจองง่ายเหมือนจองที่พักทั่ว ๆ ไป)

…ส่วนคอนแทคติดต่อรถที่จะพาเราเดินทางไปยังทะเลสาบไบคาลนั้นสามารถติดต่อได้ที่ https://www.facebook.com/jack.sheremetoff นี่คือเฟซบุ๊คของ มิสเตอร์ แจ๊ค .. เป็นเหมือนคนคอยจัดการเรื่องเที่ยวทะเลสาบไบคาล ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ ใครสนใจก็สามารถติดต่อแจ๊คไปได้เลย

…อ้อ !! ลืมบอกไปสำหรับทริปนี้ผมเองเดินทางไปจอยกับเพจ “แบกเป้เท่ทั่วโลก” https://www.facebook.com/TummengTravel ซึ่งก็ติดต่อคุยกับมิสเตอร์แจ๊ค คอนแทคที่ให้ไว้ด้านบนเช่นเดียวกัน รายละเอียดต่าง ๆ แจ๊คก็จะเป็นคนคอยแนะนำเรา .. ว่ากันต่อถึงเพจแบกเป้เท่ทั่วโลกที่ผมมาจอยด้วยครั้ง ก็มีจัดทริปเที่ยวแบบลุย ๆ สไตล์กันเอง อาจไม่ได้นอนหรูนอนแพง 5 ดาว หรืออาอาหารก็อาจไม่ได้ร้านใหญ่ร้านดัง(เหมาะกับคนไม่เน้นกินเน้นนอน เน้นเที่ยวล้วน ๆ ) แต่แน่ ๆ ถ้าไปแล้วจะได้มิตรภาพ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ รวมทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ที่การเดินทางจะทำให้เราแลกเปลี่ยนเรื่องนั้นเรื่องนี้จนได้อะไรกลับมามากกว่าแค่ได้ไปเห็นวิวสวย ๆ ซะอีก.. ใครสนใจบอกผ่านทางเพจผม “เที่ยวผ่านเลนส์” https://www.facebook.com/forzanufoto ก็ได้เช่นกันผมจะไปถามรายละเอียดมาให้


• Connect the World •

…มาถึงเรื่องของการติดต่อสื่อสารที่ทุกวันนี้เป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้แล้ว.. ยิ่งการอัพรูปลงโซเชี่ยลมีเดีย หรือจะไว้ติดต่องานไม่เว้นแม้แต่โทรศัพท์กลับบ้านหาคนที่เรารัก..

…ทริปนี้ผมใช้ซิมอินเตอร์เน็ทของทรูมูฟเป็นแพคเกจซิมท่องเที่ยวทั่วโลก Travel Sim World ไปไหนก็ใช้ได้ในระยะเวลา 15 วัน เล่นเนทได้ 6 GB ราคา 899.- ถ้าถามว่าเวิร์คมั้ยก็ต้องบอกว่าเวิร์คเพราะไม่ได้ใช้ของเจ้าอื่นก็เลยไม่รู้ ฮ่าๆๆ เอาง่าย ๆ เรียกว่าตั้งแต่ถึงสนามบินเมืองเอียร์คุตส์จนถึงวันกลับ ช่วงที่สัญญาณอาจจะดับ ๆ หาย ๆ ไปบ้างก็คือเส้นทางไปทะเลสาบไบคาล เส้นทางบางช่วงเข้าใจว่าอับสัญญาณอาจจะมีหายไปบ้างเป็นพัก ๆ แต่เข้าใจได้ด้วยระยะทางที่ห่างจากตัวเมืองหลัก.. แล้วจะมีอีกจังหวะที่สัญญาณไม่ถึงก็คือตอนระหว่างเที่ยวเดินทางอยู่ท่ามกลางทะเลสาบ อันนี้สัญญาณเจ้าไหนก็ไม่น่าไปถึง.. 

…สรุปเลยเอาเป็นว่าการใช้งานโดยรวมพื้นที่หลัก ๆ ในใช้งานได้ตลอดไม่มีปัญหา..


• For Your Information •

…ก่อนจะไปเข้าเรื่องสำคัญอย่างการเตรียมเลือกเสื้อผ้าสำหรับกันหนาว รวมไปถึงอุปกรณ์ข้าวของจำเป็นต่าง ๆ ขอแทรกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเกร็ดข้อมูลไว้ให้สักนิดเท่าที่นึกออกแล้วกัน

• เวลาที่เมืองเอียร์คุตส์ และทะเลสาบไบคาลที่เราเดินทางไปนั้น จะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมงเท่านั้น.. 

• ปลั๊กไฟที่รัสเซียเป็นแบบรูกลม ๆ 2 รู.. ใครมี Universal Adapter ก็ไม่ต้องห่วง ผมว่าสะดวกสุดนะคือซื้อแบบดีดีสักอันเอาที่ครอบคลุมตามโซนประเทศต่าง ๆ มีไว้ก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าประเทศนั้นจะใช้แบบไหน สิ่งสำคัญคือควรจะพกปลั๊กสามตาเสียบต่อเข้ากับตัว Universal Adapter นั่นแหละสำคัญ เพราะทุกวันนี้อุปกรณ์การเดินทางมีแต่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ไหนจะต้องชาร์จ Power Bank, ชาร์จมือถือ, ชาร์จอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ Tablet, iPad, Laptop ฯลฯ 

• อัตราแลกเปลี่ยนเงิน สะดวกสุดก็แลกก่อนเดินทางไปให้พร้อม .. หลักคำนวณง่าย ๆ แบบกลม ๆ แบบเผื่อไว้เหลือ ๆ เลยคือ เงินไทยกี่บาทจับคูณสองก็จะได้เป็นรูเบิ้ล เช่น ซื้อถุงเท้ากันหนาวที่เมืองเอียร์คุตส์ 300 รูเปิ้ล ก็เท่ากับ 150 บาทไทย (หรืออาจจะต่ำกว่านั้นแต่นี่คิดเรทแบบเผื่อ ๆ คำนวณง่าย ๆ ไว้ก่อน)

• อาหาร และเครื่องประทังชีวิต.. อันนี้คิดว่าแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ใครชอบกินอะไร จะแบกจะขนไปเท่าไหร่แล้วแต่เลย.. แต่ติดตัวไปด้วยก็ดี แต่ถ้าไม่อะไรมากนะซูเปอร์มาร์เก๊ตที่เกาะ Olkhon Island (ทะเลสาบไบคาล) ร้านใหญ่ ๆ ก็มีขายมาม่าคัพ ส่วนยี่ห้ออะไรรสอะไรก็ไปเลือกมั่ว ๆ กันที่แผงในร้านได้เลยจะได้ไม่ต้องแบกไปให้เกะกะ

…คิดไม่ออกแล้วว่าต้องมีอะไรอีก จะมีที่เหลือก็คือพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับเสื้อผ้าไปอ่านกันต่อด้านล่างได้เลย


• Camera & Lens •

…ตัดเรื่องมือถือที่ใช้ถ่ายรูปไปเชื่อว่าหลายคนที่ไปคือคนที่ชอบถ่ายภาพ และหลายคนมาก ๆ ก็ไปเพื่ออยากเก็บภาพสวย ๆ แบบจริงจังก็แบกกล้องแบกเลนส์กันไปครบทุกช่วง ซึ่งแต่ก่อนผมก็เป็นแบบนั้นแต่ด้วยอายุ และความขี้เกียจแบกไปเยอะ ๆ หลัง ๆ มาเดินทางแต่ละทีก็พยายามแบกไปให้น้อยที่สุด แต่น้อยแบบให้เราไม่ขาดไม่หงุดหงิดว่าเราจะยังได้ภาพในแบบที่เราตัองการอยู่.. ซึ่งทริปนี้ผมเอาอุปกรณ์กล้องและเลนส์ไปตามนี้

NIKON D750 

• เลนส์มุมกว้าง – Nikon 14-24 mm • ใครมีเลนส์วายด์กว้างที่สุดมีตัวไหนให้เอาตัวนั้นไปด้วย เพราะมันจะทำให้ได้มุมอย่างเช่น ถ่ายจากในถ้ำ หรือถ่ายแหงน ๆ หน้าผาได้อลังการยิ่งขึ้น

• เลนส์ระยะกลาง – Nikon 35 mm / Nikon 50 mm • ..ผมเอาเลนส์ช่วงนอร์มอลไป 2 ตัว ผลปรากฏคือ 35 mm หยิบมาถ่ายไม่ถึง 5 ครั้ง ส่วน 50 mm ไม่ได้ใช้เลย.. (แบกมาทำไมให้เกะกะพื้นที่) เดี๋ยวจะเล่าถึงเหตุผลส่วนตัวให้ฟังว่าทำไมไม่ได้หยิบมาใช้เลย

• เลนส์ระยะไกล – Nikon 70-200 mm • อันนี้จำเป็นเท่าเทียมกับเลนส์วายด์เท่าไหร่เท่ากันเลย โดยหลัก ๆ เมื่อใส่เลนส์เทเลซูมผมก็จะไว้ดึงภูเขา วิวทิวทัศน์ที่อยู่ไกล ๆ ให้ใกล้เข้ามา รวมทั้งเอาไว้ถ่ายคนก็ยังได้ฉากหลังที่เห็นภูเขาลูกชัด ๆ ใหญ่ ๆ ได้ดีด้วย

ขาตั้งกล้อง • อันนี้ก็จำเป็นสำหรับใครที่ต้องการไปแล้วอยากได้แสงเช้า แสงเย็น .. แต่ถ้าใครไม่ได้จริงจังกับสองช่วงเวลานี้ หรือไม่ได้จะวางขาตั้งกล้องถ่าย Timelapse หรือคิดว่าเร่ง ISO ทดแทนกันได้ ก็ชั่งใจดูว่าจะแบกไปเพิ่มไหม

…มาถึงเหตุผลส่วนตัวที่แทบจะไม่ได้หยิบช่วงเลนส์นอร์มอลทั้งสองตัวมาใชัเลยก็ประมาณนี้ (ย้ำอีกทีว่าเหตุผลส่วนตัววัดจากความถนัดของผมเองนะครับ) ท่านอื่น ๆ อาจจะถนัดแบบไหนก็ตามสะดวกเลย

  1. เป็นคนไม่ค่อยชอบใช้เลนส์ระยะนี้อยู่แล้ว คือเป็นประเภทซ้ายสุด ขวาสุด ไม่เลนส์วายด์ก็เทเลไปเลย แต่เวลาเดินทางก็จะติดไปด้วยทุกครั้งส่วนจะหยิบใช้มั้ยก็ว่ากันอีกที 
  2. ทะเลสาบไบคาลนั้นมีพื้นที่กว้างมากพอที่จะทำให้เมื่อใส่เลนส์เทเลซูมแล้วเราก็ยังมีพื้นที่ระยะในการเดินเข้าถอยออก สำหรับผมแล้วโอเคกว่าการเปลี่ยนเลนส์
  3. เหตุผลต่อเนื่องจากข้อ 2 คือด้วยสภาพอากาศที่หนาว และเย็นทำให้ต้องใส่ถุงมือแทบจะตลอดเวลา แล้วพอใส่ถุงมือก็เลยทำให้การที่จะหยิบจับเปลี่ยนเลนส์นั้นลำบากกลัวหลุดมือ ไอ้ครั้นจะถอดถุงมือแล้วเปลี่ยนเลนส์แล้วกลับมาใส่ถุงมือใหม่ จึงเป็นเรื่องเสียเวลาสำหรับผมมาก .. เรียกว่าถ้าไม่ใช่ช๊อตที่เน้น ๆ จริง ๆ ผมก็จะพยายามเปลี่ยนเลนส์ให้น้อยที่สุดล่ะครับ

…แต่อย่างที่บอกไปนี่คือความถนัดของผม ดังนั้นใครถนัดแบบไหน และหากแบกอุปกรณ์ไหวก็เอาไปให้ครบ ๆ นั่นแหละครับเพื่อความไม่คาใจในการเก็บภาพ


All my bags are packed, I’m ready to go 

…มาถึงเรื่องสุดท้ายก่อนจะไปชมวิวสวย ๆ ของไบคาลกันก็คือเรื่องการเตรียมตัวเสื้อผ้าอุปกรณ์สำหรับใส่กันหนาว โดยเฉพาะสำหรับสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิติดลบตั้งแต่ -1 ไปจนถึง -20 ก็ยังเป็นได้ .. อุปกรณ์ที่ผมเอาไปใช้สวมใส่หลัก ๆ ก็มีดังต่อไปนี้

• แว่นกันแดด / อันนี้คนไม่ชอบใส่ ให้แดดแรงยังไงก็อาจจะไม่ใส่ สรุปแล้วแต่คน .. แต่ด้วยพื้นที่ทะเลสาบเป็นหิมะสีขาวซะส่วนใหญ่ดังนั้นบางทีก็อาจทำให้มองแล้วแสบตาได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าติดไปเผื่อ ๆ ก็ได้สำหรับใครที่ไม่ชอบใส่แว่นกันแดด

• โลชั่นทาผิว, ลิปมัน, ครีมกันแดด / อันนี้เป็นอุปกรณ์สามัญยามไปเจอหนาว ๆ คาดว่าทุกคนคงไม่พลาด .. 

• หมวก, ผ้าพันคอ, ถุงเท้า, ถุงมือ / ผมจำแนกไว้ให้เป็นหมวดเดียวกันเลยเพราะสาเหตุที่จะทำให้ร่างกายเราหนาวนั้นอยู่ที่จุดสำคัญต่าง ๆ ในร่างกายที่เราจะรู้สึกหนาวขึ้นเป็นพิเศษเมื่อจุดเหล่านี้สัมผัสเข้ากับลมเย็น ๆ (สภาพอากาศหนาวยังไม่เท่าไหร่ แค่ยืนหนาว) แต่อย่างที่รู้กันดีว่าลมนี่แหละคือตัวการที่จะทำให้เรายิ่งหนาวทวีคูณขึ้น ดังนั้นจุดที่สำคัญในร่างกายที่เราจำเป็นต้องปิดกั้นไว้ที่ผมคิดออกจึงได้แก่

  1. ใบหู – ถ้าใครใส่เสื้อที่มีฮูดปิดคลุมหัวได้ก็ถือว่าช่วยได้อยู่พอสมควร หรือจะเป็นหมวกที่มีหูใหญ่ ๆ ปิดทับลงมาอันนี้ก็ช่วยได้เช่นกัน แต่ผมว่าดีสุดคือหมวกกันหนาวที่ดึงคลุมปิดไปทั้งผมทั้งใบหูนั่นแหละ ผมอาจจะเสียทรงไปหน่อยแต่ผมว่าแบบนี้ดีสุด (ถ้าไม่มีแนะนำให้ไปซื้อที่ตลาดในเมืองเอียร์คุตส์ก่อนวันจะไปทะเลสาบได้เลย)
  2. ถุงเท้า – อันนี้ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชิ้นอื่น ๆ เพราะสายลมที่เล็ดลอดเข้ามา บางทีมันชอนไชไปทุกที่ที่ลมจะเข้าไปได้ ก็ควรเลือกที่หนา ๆ อุ่น ๆ (เหมือนเดิมครับแนะนำใครที่ไม่มีไปสอยที่ตลาดในเมืองเอียร์คุตส์ได้) ผมเองก็สอยจากที่ตลาดนั่นเหมือนกัน อุ่นสบายเลยฮะ
  3. ถุงมือ – อีกหนึ่งในไอเทมหลักที่ผมสอยจากตลาดเมืองเอียร์คุตส์เช่นกัน บางคนอาจจะชั้นเดียวไม่อุ่น แนะนำว่าใส่ถุงมือที่แนบเนื้อไปก่อนสักชั้น แล้วค่อยตามด้วยถุงมือขนอีกชั้นก็เอาอยู่
  4. ผ้าพันคอ – อันนี้ผมว่าอาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่นักสำหรับคนที่ขี้รำคาญ เช่นผมเป็นต้น.. ผมก็ไม่ได้ใช้ แต่สำหรับสาว ๆ อาจจะสำคัญใช้เป็นพร๊อพสวย ๆ พันไว้อันนี้ก็โอเค

• ที่กันลื่นเวลาเดินบนหิมะ – ใครนึกภาพไม่ออก เข้า Lazada พิมพ์คำว่า “ที่กันลื่นหิมะ” แล้วก็สอยได้เลย อันนี้จำเป็นมากเวลาเดินบนน้ำแข็งที่ลื่น ๆ .. เพราะลำพังถ้าเป็นหิมะยังโอเคไม่ต้องใส่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นพื้นผิวน้ำแข็งที่เราต้องเดิน ผมแนะนำว่าถ้ามีเจ้านี่จะช่วยให้เรามั่นใจในการเดินได้ยิ่งขึ้น

• เสื้อกันหนาว / เข้าเรื่องกันสักทีกับความวุ่นวายในการจัดเตรียมเสื้อผ้าก็อยู่ที่ชุดที่จะสวมใส่กันหนาวนี่แหละ 

  1. เริ่มต้นที่ชั้นแรก หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Base Layer ผมเลือกใส่เป็น Heat Tech (ฮีทเทค) แบบแนบเนื้อของยูนิโคล่ ทีนี้ฮีทเทคก็จะมีแบบที่ความหนาไม่เท่ากัน แนะนำว่าเอาแบบหนา ๆ จัดไปเลยครับ แบบที่เป็นคอกลมปิดลำคอได้ยิ่งดีเพราะมันจะช่วยกันลมด้วย
  2. ลำดับชั้นที่สอง ใส่ต่อจากฮีทเทค .. ควรจะเป็นเสื้อ Fleece ใครไม่รู้เป็นไงเสิรช์ในกูเกิ้ลพอเห็นภาพก็จะร้องอ๋อขึ้นมาทันที (หรือดูรูปด้านล่างนี้ที่ผมใส่เสื้อสีดำยืนเก๊กหล่อนั่นแหละครับ) .. ใครมีงบเท่าไหร่จัดไปตามกำลังจะจากที่ไหน Columbia, Decathlon, North Face ก็แล้วแต่ แต่ผมสอยจาก Uniqlo ก็โอเคแล้ว
  3. ลำดับชั้นที่สาม ชั้นนี้สำหรับผมแล้วสำหรับอุณหภูมิไม่ถึง -10 อย่างช่วงที่ไปผมนี่โอเคเลย เพราะแค่ 3 ชั้นนี้ก็อึดอัดเกินทน .. เสื้อชั้นนี้จึงจำเป็นมากที่ควรตัองมีก็คือที่เราเรียกกันคุ้นเคยว่า “เสื้อขนเป็ด” ส่วนใครจะไปซื้อขนห่าน หรืออะไรก็แล้วแต่ อย่างผมซื้อจาก Uniqlo เสื้อตัวนี้ก็เรียกว่า Ultra Light Down มีฮู้ดด้วย .. (รูปที่สองด้านล่างเสื้อสีขาวที่ผมใส่เดินอยู่นั่นแหละครับ) ตัวนี้ผมว่าเวิร์คมากตรงที่มันขยำ ๆๆๆ แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ เก็บยัดกระเป๋าได้ง่ายไม่เปลืองพื้นที่เหมือนเสื้อ Fleece หรือ Jacket .. สรุปเป็นอีกไอเทมที่ต้องติดไปกันหนาว
  4. ลำดับชั้นที่สี่นอกสุด อันนี้จะเป็นเสื้อแนวแจ๊คเก๊ตกันลมกันฝน (Wind Jacket, Waterproof Jacket) อันนี้เหมาะสำหรับเวลาเจอลมแรง ๆ จะช่วยได้ดี .. ส่วนผมไม่มีตัวนี้หรอกครับยืมรุ่นพี่ที่ไปด้วยกันเอา.. (รูปที่สามด้านล่างที่ผมใส่เสื้อสีเหลืองนั่นแหละครับคือตัวนี้) ทั้งทริป 6 วัน ผมใส่ตัวนี้ไปแค่ครั้งเดียวตอนเย็น .. ส่วนวันอื่น ๆ ที่ไม่ใส่เพราะแค่ 3 ชั้นที่ใส่อยู่นั้นอุ่นเพียงพอแล้วสำหรับผม ท่ามกลางอุณหภูมิไม่ถึง -10 แต่อย่ามีลมมานะครับ ถ้ามีพัดมาผมก็พอมีสะท้านบ้างเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ ..

…ที่กล่าวไปในส่วนของเสื้อคือผมไม่ใช่คนขี้หนาวสักเท่าไหร่ แล้วยังเป็นประเภทไม่ชอบอะไรเทอะทะอึดอัด เหงื่อออกง่าย.. ผมจึงใส่เพียง 3 ชั้นเท่านั้น.. แต่ก็ภาวนาว่าขอแค่อย่ามีลมพัดมาแรง ๆ นาน ๆ ให้ระทวยก็พอ ฮ่าๆๆ

• กางเกง /มาต่อกันที่ท่อนล่างกันบ้าง

  1. ชั้นแรกที่ผมใส่คือ ลองจอน แนบเนื้อไปเลยอบอุ่นแบบในสเตปแรก
  2. ชั้นที่สอง กางเกง Fleece อันนี้ลักษณะกางเกงด้านในจะเป็นขน ๆ หน่อยไว้กันความหนาวเก็บกักความอุ่น ผมใช้ของยี่ห้อ Quechua ไปสอยที่ Decathlon ก็จะมีหลายราคา แต่ผมสอบมาแบบเก้าร้อยกว่าบาทถ้าจำไม่ผิด.. ตัวเดียวอยู่เลยกับสภาพอากาศเท่าที่ผมไป (ย้ำว่าเท่าที่ผมไปนะครับผมโอเค)
  3. ชั้นที่สาม ใครที่คิดว่าสองชั้นไม่พอก็ควรมีอีกตัวคือ กางเกงกันลมกันฝน หรือกางเกงสำหรับเล่นสกี อันนี้อยู่แน่นอน
…เป็นอันว่าควรพอได้แล้วสำหรับการเตรียมตัวต่าง ๆ เพราะเกิดมาไม่เคยพิมพ์บอกข้อมูลการเตรียมตัวแต่งตัวมากมายขนาดนี้มาก่อน ฮ่าๆๆ .. จากนี้ไปเราก็ไปชมความงดงามความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่โลกใบนี้สร้างสรรค์ให้เราออกเดินทางไปค้นหา ไปสร้างความจำเก็บประสบการณ์ เปิดโลกทัศน์อีกใบกับโลกใบนี้ .. Lake Baikal : Frozen Wonderland กันได้เลย

…เสื้อที่ใส่ในภาพคือเสื้อ Fleece แบบมีฮู้ดของ Uniqlo ตัวนี้จะหนาหน่อยพับเก็บก็หนา แต่ใส่แล้วช่วยกันหนาวได้ดีจริง ๆ ยิ่งมีฮู้ดด้วยแล้วแจ่มเลย

…เสื้อ Ultra Light Down จาก Uniqlo


• Travel Plan •

…แพลนการเดินทางของเราสำหรับทริปนี้เป็นไปตามนี้

Day 1 : กรุงเทพ (ขึ้นเครื่องประมาณ 16.30) > Irkutsuk ตอนประมาณเที่ยงคืน > ผ่าน ตม. รับกระเป๋า ออกมาพบกับคนขับรถที่นัดหมายไว้แล้วมุ่งหน้าเข้าที่พักที่จองไว้ที่เมืองเอียร์คุตส์

Day 2 : เที่ยวเมืองเอียร์คุตส์ และออกไปนอกเมืองนิดหน่อยไปชมวิวตรงแม่น้ำ Angara River ที่เมืองเล็ก ๆ Listvyanka และตอนเย็นขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปชมที่จุดชมวิวด้านบน .. กลับมานอนเอียร์คุตส์

Day 3 : Check Out จากเอียร์คุตส์ เดินทางสู่ Olkhon Island เพื่อเตรียมไปพบกับทะเลสาบไบคาล

Day 4 : สาละวนอยู่ที่ทะเลสาบไบคาล

Day 5 : ยังคงอยู่ที่ทะเลสาบไบคาลอีกคืน

Day 6 : Check Out ร่ำลาทะเลสาบไบคาลกลับเมืองเอียร์คุตส์

Day 7 : Check Out แต่เช้าแล้วก็ไปขึ้นเครื่องตอนประมาณ 8.00 กลับถึงไทยประมาณ 15.30 น.


• Angara River, Listvyanka 

…ประเดิมภาพสวย ๆ ของอัลบั้มนี้กันที่จุดชมวิวแม่น้ำ Angara River (แองการ่า, อังการ่า) เรานั่งรถที่ติดต่อไว้พร้อมคนขับใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกับระยะทางประมาณ 70 กม. จากเมืองเอียร์คุตส์ก็มาถึง “เมืองลิสท์เวียนก้า : Listvyanka” ..ช่วงที่มาอากาศไม่หนาวจัด ดังนั้นถือว่าสบาย ๆ พอทันทีที่รถจอดข้างทางทั้งคณะก็ไม่รีรอรีบหยิบกล้องหยิบเลนส์ลงมาหามุมสวย ๆ ส่องเก็บภาพกันไป

…ทะเลสาบไบคาลนั้นอย่างที่ได้บอกไปว่ามีความใหญ่เป็นถึงอันดับ 7 ของโลก และจุดที่เรายืนอยู่นี้ก็คือหนึ่งในส่วนของทะเลสาบไบคาลด้วยเช่นกัน.. แม่น้ำสายต่าง ๆ หลากหลายร้อยสายรวมกันทั้งหมดความยาวกว่า 1,779 กม. ที่ไหลผ่านมารวมกันเป็น Angara River จากนั้นก็ไหลออกสู่ทะเลสาบไบคาล.. ตรงแถบบริเวณนี้จะมีความมหัศจรรย์ตรงที่ในส่วนของแม่น้ำ Angara นั้นจะไม่เป็นน้ำแข็ง แต่พอไหลสู่ปากอ่าวทะเลสาบไบคาลนั่นคือกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งทันที จงใจเหมือนมีใครมาขีดไว้ให้เขตของแม่น้ำที่จะไม่มีวันเป็นแผ่นน้ำแข็งสิ้นสุดตรงนี้.. และนี่แหละคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ

…บริเวณนี้เปรียบเสมือนที่ซ้อมเดินเหยียบแผ่นน้ำแข็งออเดิรฟ์เล็ก ๆ ซ้อมย่อยก่อนจะไปเจอแบบเต็ม ๆ ที่บริเวณ Olkhon Island ในวันพรุ่งนี้.. ส่วนสถานที่ที่น่าสนใจในแถบนี้ก็ยังมี Fish Market และ Baikal Museum ที่เราอาจมาเดินเล่นแวะชมสักนิดสักหน่อยก็ได้.. ก่อนจะปิดท้ายยามเย็นด้วยการขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปชมวิวที่จุดชมวิวด้านบนเป็นปิดท้ายวันเริ่มต้น


• Kamen’ Cherskogo Viewpoint, Listvyanka 

…นี่คือความพีคแบบสุด ๆ ของการชมวิวสวย ๆ แบบสูง ๆ เมื่อมาถึงเมือง Listvyanka .. การขึ้นมาชมก็ง่ายแสนง่ายเพราะมีเคเบิ้ลคาร์ให้เราจ่ายเงินแล้วขึ้นมาใช้เวลานั่งเคเบิ้ลคาร์ห้อยขาต่องแต่งเสียวนิด ๆ เมื่อขาไม่แตะพื้นประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ลงเดินต่ออีกนิดประมาณ 200 – 300 เมตร ก็ถึงจุดชมวิวแล้ว.. 

…จากจุดชมวิวนี้เราจะได้เห็นทัศนียภาพแบบกว้าง ๆ มองเห็นผืนน้ำในส่วนของ Angara River ที่จะไม่มีวันเป็นน้ำแข็ง ตัดกับบริเวณปากทะเลสาบไบคาลที่ตอนนี้เกาะตัวจับกันเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดมหึมาตัดกันแบบเห็น ๆ บวกกับฝั่งตรงข้ามที่เป็นที่ตั้งของท่าเรือไบคาล (Port Baikal) และด้านซ้ายมือที่เป็นบริเวณหมู่บ้าน พิพิธภัณฑ์ ตลาดปลาที่เราได้เดินเล่นผ่านมาเมื่อช่วงบ่าย .. 

…ดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลดระดับตัวลงไปพร้อมกับแสงที่ทอดออกมาครั้งสุดท้ายของวัน ช่วงเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ แต่มีความสุข เราใช้เวลาประมาณ 40 นาทีบนเนินเขาเล็ก ๆ ท่ามกลางลมหนาวที่พัดมาอย่างต่อเนื่องแต่ก็อุ่นขึ้นได้เมื่อมีถุงมือ อุปกรณ์ที่เตรียมตัวมาอย่างดี.. ความสุขคือการได้เก็บภาพสวย ๆ กลับไปเป็นของฝากให้ตัวเอง แต่มากไปกว่านั้นคงหนีไม่พ้นการที่ได้เห็นความเป็นไปของธรรมชาติที่งดงามเกินกว่าจะบรรยาย


• Let’s go to Olkhon Island 

…เราออกเดินทางจากเมืองเอียร์คุตส์ประมาณ 10 โมงเช้า เพื่อจะไปยังที่พักที่จองไว้ที่เมือง Khuzhir บนเกาะ Olkhon Island กับระยะทางประมาณ 300 กม. โดยที่กว่าเราจะถึงก็ประมาณ 17.00 พอดิบพอดี.. สาเหตุที่ใช้เวลานานเพราะถนนบางช่วงก็จำกัดความเร็ว ไหนจะแวะพักเบรกให้คนขับ แวะกินข้าวกลางวัน แวะเข้าห้องน้ำ รวมทั้งพอถึงเส้นทางบนเกาะก็ทำความเร็วไม่ได้มากนักเพราะถนนส่วนใหญ่จะเป็นเส้นทางขรุขระก็ค่อย ๆ ไปกัน(ดังนั้นแนะนำว่าใครที่อยากไปถึงเร็วกว่านี้เพื่อจะได้ถึงเร็ว ๆ และมีเวลาเหลือเดินเล่นมากขึ้นก็ควรรออกเช้ากว่านี้สักหน่อยจะดีกว่า) ส่วนเรื่องของวิวทิวทัศน์สองข้างทางนั้นก็มีอะไรให้เราได้ตื่นเต้น ได้เห็นความสวยงาม และบรรยากาศที่เปลี่ยนไปตลอดตามเส้นทางที่ผ่านเข้ามา


• Here We Are, Lake Baikal 

…จนในที่สุดก็มาถึงพอถึงนาทีที่รถแล่นทำมุมให้เราได้เห็นผืนน้ำแข็งสีฟ้าที่อยู่ไกล ๆ ถึงตอนนั้นความตื่นเต้นที่เหมือนนิ่งไปสักพักใหญ่กับเส้นทางที่ขรุขระก็ถูกปลุกให้กระตุ้นตัวเองขึ้นมาอีกครั้งเพราะข้างหน้านั่นคือ “ทะเลสาบไบคาล” ที่เป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดมหึมาหากจะให้เรานึกภาพง่าย ๆ อาจจะเหมือนเราขับรถไปเที่ยวเขื่อนเมืองกาญจน์บ้านเราแล้วไปถึงขอบฝั่งตลิ่งมองออกไปผืนน้ำนั่นคือน้ำแข็งทั้งหมด.. จะต่างกันแค่ความยิ่งใหญ่ที่เราไม่อยากจะเชื่อว่าด้วยปริมาณน้ำมากมายมหาศาลขนาดนี้จะกลายเป็นดินแดนน้ำแข็งที่แข็งแรงหนาแน่นจนรถลงไปแล่นได้หนักเป็นสิบตัน .. 

…ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถผมเองลองจินตนาการไปว่าก่อนหน้านี้ที่เป็นผืนน้ำ มีสายลมสร้างเกลียวคลื่นในทะเลสาบ แต่ตอนนี้ทั้งหมดทั้งมวลได้เป็นน้ำแข็งไปหมดแล้วก็ยิ่งสร้างความน่ามหัศจรรย์ และชวนให้รู้สึกตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา.. ส่วนเส้นทางที่รถแล่นไปนั้นในช่วงแรกก็จะแล่นไปบนน้ำแข็งก่อนแล้วค่อยตัดขึ้นไปขับเส้นทางบนเกาะ .. 

…มีป้ายจราจรทำขึ้นมาปักกันอย่าเป็นจริงเป็นจัง.. ประหนึ่งรันเวย์สนามบินยังไงยังงั้นเลย…


• Love at First Sight 

…เส้นทางบนเกาะนั้นมีอะไรให้เราได้เห็นตลอดเส้นทางนั่งไปเรื่อย ๆ เห็นวิวแปลก ๆ ใหม่ ๆ ส่วนตัวผมก็อาศัยความได้เปรียบที่ได้ที่นั่งหน้าข้างคนขับเลยได้โอกาสดีที่ได้ถ่ายภาพระหว่างทางมาเยอะหน่อย.. ส่วนสภาพของสองข้างทางนั้นก็มีทัศนียภาพที่แตกต่างไปเรื่อย ๆ บนเส้นทางที่บางช่วงก็ราบเรียบแต่บางช่วงก็เป็นเส้นทางขรุขระผ่านทั้งทางลาดทางชันสลับกันไป .. เรียกว่าเป็นอีกการเดินทางที่ลุ้นเหลือเกินว่าจะได้เจออะไรสองข้างทางให้ได้เห็นอีก

…และอย่างที่เราเคยได้ยินบ่อย ๆ ว่าความสุขของการเดินทางนั้นไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางแต่เพียงอย่างเดียว ที่นี่ก็คืออีกหนึ่งที่ที่เราสามารถดึงประโยคนี้มาใช้ได้อย่างลงตัว.. ภาพสวย ๆ ที่ได้จากการเดินทางหลายต่อหลายใบก็เป็นรูปที่ได้จากวิวข้างทางนี่แหละที่ช่วยเติมเต็มให้ภาพการเดินทางนั้นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น


• Along the Way, Olkhon Island 

…เกาะโอลคอน (Olkhon Island) คือเส้นทางที่เราแล่นตัดขึ้นบนฝั่งกันอยู่ในตอนนี้ เกาะโอลคอนเป็นเกาะที่โผล่ขึ้นมากลางทะเลสาบไบคาล และยังมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกของเกาะที่ตั้งตัวอยู่บนทะเลสาบ ซึ่งโดยปกติแล้วการเดินทางสู่เกาะโอลคอนนั้นก็จะเป็นการโดยสารทางเรือเป็นหลัก แต่ในช่วงที่ทะเลสาบทั้งผืนกลายเป็นน้ำแข็งอย่างในตอนนี้พาหนะอย่างเรือจึงไม่มีความหมายท่าเรือต่าง ๆ ก็ถูกปิดไว้ชั่วคราว… ส่วนหมู่บ้านที่เราจะไปพักก็อยู่ในส่วนของหมู่บ้าน Khuzhir หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่น่าจะเป็นส่วนที่คึกคักที่สุดของเกาะนี้แล้ว มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารอยู่หลายร้าน ใครที่ขาดเหลืออะไรก็มาหากันที่เกาะนี้ก็ยังได้


• Shaman Rock Viewpoint, Burkhan Cape 

…รวมระยะเวลาตั้งแต่รถเริ่มขับลงบนทะเลสาบ และย้อนขึ้นมาแล่นบนเกาะใช้เวลาโดยรวมประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง กว่าที่เราจะมาถึงที่พักที่หมู่บ้าน Khuzhir กันก็ปาไปถึงเกือบประมาณ 5 โมงเย็น จากนั้นจึงรีบนำสัมภาระต่าง ๆ เข้าห้องพัก และเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวเพิ่มความหนาสร้างความอุ่นให้ร่างกายอีกสักหน่อยเพราะตกเย็นแล้วอากาศน่าจะเย็นกว่าทั้งวันที่ผ่านมา.. จากนั้นก็รีบบึ่งมาที่จุดชมวิว Shaman Rock บริเวณของ Burkhan Cape ความสวยงามที่ได้เห็นนั้นสมแล้วที่นี่คือหนึ่งในไฮไลท์เมื่อมาถึงเกาะ

…แสงแดดที่ส่องมาตลอดเส้นทางตั้งแต่เราเริ่มขึ้นเกาะถึงตอนนี้ค่อย ๆ อ่อนตัวลงทีละช้า ๆ ตรงกันข้ามกับความหนาวเย็นที่ค่อย ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับความสุขที่เรากำลังได้รับอยู่ในห้วงเวลานั้น.. นอกไปจากเสียงของผู้คนที่ยืนพูดคุยกัน เสียงชัตเตอร์กล้องที่ผมกับเพื่อนยืนอยู่ข้าง ๆ กันก็เป็นอีกเสียงที่ดังขึ้นอยู่เรื่อย ๆ เก็บภาพไปตามมุมของแต่ละคน.. ปิดท้ายวันแรกบนเกาะโอลค่อนอย่างเต็มอิ่ม 


• Good Morning Baikal 

…หลังจากที่เมื่อวานเย็นกว่าจะมาถึงก็กินเวลาเข้าไปเกือบจวนเจียนพระอาทิตย์ตกเลยไม่ได้มีเวลาซึมซับ และสอดส่องอะไรมากกับบริเวณแถว Shaman Rock เช้านี้พวกเราเลยตกลงว่าจะมาเก็บภาพบรรยากาศแถวนี้กันสักหน่อย โดยนัดรถนำเที่ยวไว้ตอน 9.00 น. นั่นทำให้เรามีเวลาเก็บภาพบรรยากาศช่วงเช้าให้เสร็จก่อนเก้าโมงเช้าโดยเผื่อไว้เสร็จสรรพทั้งเดินไปเดินกลับไหนจะต้องกินอาหารเช้าอีก แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยทันเวลาเพราะจากที่พักเราใช้เวลาเดินไปถึงจุดชมวิวตรง Burkhan Cape นั้นใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที ไปกลับก็ 40 นาทีเผื่อเหลือเผื่อขาดก็ทันเวลา

…ช่วงเช้าตรงนี้ลมพัดมาค่อนข้างแรงส่วนด้านล่างพื้นก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่หนาแน่นไม่ต่างอะไรจากเมื่อวานเย็นที่มาถึง จะต่างกันตรงที่วันนี้เป็นแสงเช้าจึงทำให้บรรยากาศนั้นค่อนข้างแตกต่างไปมากกับตอนเย็น ถ้าถามว่าช่วงไหนสวยกว่ากับวิวตรงนี้ผมว่าตอนเย็นจะดูได้ฟิวล์กว่าหน่อย แต่ถ้าถามต่อไปว่าให้เลือกมาช่วงไหนจะดีกว่ากันก็บอกเลยว่าถ้าสำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปนั้นก็ควรมาทั้งเช้าทั้งเย็นเลยเก็บให้ครบเลย เพราะอย่างน้อยสภาพแสงก็ทำให้เราได้ภาพคนละช่วงเวลากลับไป …ว่าแล้วก็หามุมเก๊กหล่อสักหน่อย.. คือวิวตรงนี้มันดีมากเพราะนอกจากเป็นจุดไฮไลท์แล้วเรายังได้เห็นบริเวณหมู่บ้านบริเวณเมืองเล็ก ๆ อีกด้วย เป็นภาพที่สวยแปลกตาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่วงที่มีหิมะปกคลุมแบบนี้ก็จะพิเศษไปกว่าช่วงหน้าร้อน ช่วงปกติที่จะเป็นสีเขียว ๆ เดินเล่นไปหามุมเจาะ ๆ ของหมู่บ้านไปเรื่อย ๆ ก็พอได้ภาพสวย ๆ กลับมาสักเซ็ทแล้ว


• Olkhon Island : North Route

…โปรแกรมหลัก ๆ เมื่อมาถึงไบคาลกันของแต่ละกรุ๊ปจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากไปสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ของผืนทะเลสาบที่ตอนนี้เป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว โดยโปรแกรมในวันแรกของเราที่เกาะโอลค่อนวันนี้จะไปกันทางตอนเหนือของเกาะก่อน (สำหรับกรุ๊ปอื่นก็แล้วแต่ว่าใครจะเลือกไปที่ไหนก่อนอันนี้ไม่ได้มีสเตปตายตัวจะเหนือก่อนใต้ก่อนยังไงก็ได้) ส่วนรถที่ใช้สำหรับเดินทางตลอดช่วงเวลาที่เราอยู่ที่นี่ก็เป็นรถตู้เล็ก ๆ นั่งสบาย ๆ กันได้ที่ประมาณ 6 คน.. (เหมือนในรูปด้านล่างที่มีหมาไล่ฟัดรถ) คันนี้แหละครับคันของเราที่ใช้เดินทาง

…จากที่เห็นในภาพนี่เราก็ออกเดินทางกันตั้งแต่ตอนสาย ๆ ของวันได้แต่ลุ้นให้แดดออก แต่ดูจากทรงแล้ววันนั้นก็แทบจะทำใจเพราะเมฆเยอะมาก ไร้แสงแดด.. ถ่ายตรงไหนก็ดูอึมครึมไปหมดจนแทบอยากจะร้องเพลง “Ain’t no sunshine” ท่อนแรกให้ดัง ๆ ♪ Ain’t no sunshine when she’s gone ♫ ไว้อาลัยกับสภาพแดดเช้าวันนี้ .. แต่มองในแง่ดีก็ยังดีกว่าฝนตกหิมะลงหนัก แค่ไม่มีแดดภาพก็อาจจะดูแบน ๆ ไปสักหน่อย ซึ่งวันนี้แม้สภาพอากาศจะไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่นักแต่ถ้าพูดถึงเรื่องความตื่นเต้นบอกเลยว่าเต็มร้อยเพราะนี่คือการที่ผมจะได้เหยียบผืนน้ำแข็งแบบจริง ๆ จัง ๆ ครั้งแรกในชีวิต

…ก่อนมาด้วยความขี้เกียจที่จะแบกเลนส์มาหลาย ๆ ตัวก็ได้ถามกูรูผู้นำทริปนี้จากเพจ “แบกเป้เท่ทั่วโลก https://www.facebook.com/TummengTravel ว่าเลนส์วายด์มุมกว้าง ๆ จำเป็นมั้ย.. ก่อนที่ชายตั้มเจ้าของเพจจะตอบกลับมาด้วยความสนิทสนมว่า “มึงแบกไปให้ครบทุกช่วงจะได้ไม่เสียดาย” ..ไอ้เราเชื่อคนง่ายก็เลยยอมแบกมา.. จนถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าอืมมมมันจำเป็นจริง ๆ ด้วย โดยเฉพาะกับมุมที่เราเดินเข้าไปในโพรงในถ้ำตื้น ๆ แล้วถ่ายออกมานั้นจะช่วยให้เราได้ภาพที่สวย และดูอลังการไม่น้อย.. ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าจะมีจุดไหนถ้ำไหนโพรงไหนที่เราจะเดินเข้าไปได้ เพราะไกด์ที่นี่ก็จะแนะนำว่าถ้าเป็นช่วงน้ำแข็งเริ่มละลายนั้นความอันตรายก็ย่อมเสี่ยงมากขึ้น แต่ช่วงนี้ที่น้ำแข็งเยอะอยู่จึงไม่น่าห่วงแต่อย่างใด …มาเพิ่มเติมข้อมูลประดับความรู้กันสักหน่อยกับทะเลสาบไบคาลว่าทำไมถึงได้ติดอันดับทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่อันดับ 7 ของโลก ด้วยพื้นที่ความยาวราว 636 กิโลเมตร บวกกับความกว้าง 79 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมด 31,722 ตารางกิโลเมตร โดยมีจุดที่ลึกที่สุดอยู่ที่ 1,642 เมตร ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นทะเลสาบขึ้นมาเนื่องจากมีปริมาณน้ำที่ไหลล้นเข้ามาจนเต็มรอยเปลือกโลกบริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อ 25 ถึง 30 ล้านปีที่แล้ว

• Lunch Time at Three Brother Rocks 

…สำหรับกรุ๊ปเดินทางที่มาเที่ยวที่ไบคาลนี้ส่วนมาก และแทบจะทั้งหมดมื้ออาหารกลางวันนั้นก็จะเป็นการทำอาหารแบบปรุง ณ ตอนนั้นเลยโดยคนขับรถก็คือพ่อครัวที่จะทำอาหารให้เรากิน ..โดยมากหนึ่งในเมนูหลักก็จะเป็นซุปปลาโอมุล (Omul Fish) ซึ่งปลาโอมุลก็คือของขึ้นชื่อของที่นี่เลย ดังนั้นเมื่อมาถึงทะเลสาบไบคาลแล้วยังไงซะก็ต้องหาโอกาสชิมให้ได้ (จริง ๆ แล้วหากินแบบเยอะ ๆ ได้ที่ตลาดที่หมู่บ้าน Listvyanka ที่เมืองเอียร์คุสต์ที่เราไปเที่ยวกันวันแรกที่นั่นวางแผงขายเกลื่อนเลย) ทั้งแบบสด แบบทอด แบบย่าง แต่ที่นี่ตอนนี้ท่ามกลางทะเลสาบไบคาลเพื่อเพิมเติมความอุ่นให้ร่างกายคงไม่มีอะไรดีไปกว่าซุปปลาร้อน ๆ 

…หรือถ้าใครกลัวไม่อิ่มก็แนะนำให้เตรียมอาหารติดไปเองเพิ่มเติมได้ จะมาม่า หรืออาหารแห้งต่าง ๆ ก็แล้วแต่สะดวก.. ใส่ถุงให้เรียบร้อยง่าย ๆ เพราะสัมภาระทุกอย่างเราไว้บนรถตลอดเวลาถึงเวลาจะกินกลางวันก็แค่หยิบลงมาสะดวกโยธิน

…ส่วนจะเป็นตำแหน่งไหนที่จะจอดกินกลางวันกันอันนี้ก็แล้วแต่คนขับรถที่นำมา ซึ่งเอาจริง ๆ ก็จะเป็นที่ที่เค้าจอดกันบ่อย ๆ จอดกันเยอะ ๆ เพราะไม่งั้นคงมั่วไปหมดอย่างตำแหน่งตรงนี้ก็คือบริเวณ “Three Brother Rocks”.. นอกจากแวะพักเติมพลังแล้วก็เดินเล่นเก็บภาพระหว่างรอเค้าทำกับข้าวไป


• Sunshine on My Shoulder Make Me Happy 

…ระหว่างที่รออาหารกลางวันฝีมือคนขับรถเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเปล่าบวกกับสภาพท้องฟ้าแสงแดดที่เหมือนจะเป็นใจขึ้น ก็ไม่รีรอช้าหยิบกล้องเดินเล่นเดินไปเดินมาแถว Three Brother Rocks ก็ได้มุมสวย ๆ ภาพสวย ๆ ที่ตอนนี้มีสีสันของท้องฟ้ามาตัดให้ภาพดูสดใสมีมิติขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว


• White Planet 

…ผ่านพ้นไปกับช่วงเวลาอาหารกลางวันแบบปิคนิคถ้าถามว่าอร่อยมั้ย ก็ถือว่าโอเคนะ ได้ซุปร้อน ๆ กินเพิ่มความอุ่นให้ร่างกายบวกกับตัวเลือกที่ไม่ได้มีอะไรมาก(ถ้าไม่นับมาม่าที่นำมาเอง)ก็ถือว่าโอเค เพราะมาถึงนี่แล้วการได้ลองกินอะไรที่เป็นอาหารประจำท้องถิ่นสักหน่อยก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีได้ลองลิ้มชิมรสชาติอะไรใหม่ ๆ ให้สมกับที่เดินทางมาซะไกล

…หลังจากนั้นก็นั่งรถต่อมาอีกแค่ประมาณ 10 นาที รถก็จอดที่จุดต่อมาซึ่งบริเวณนี้จะมีลักษณะของแผ่นน้ำแข็งเป็นสี่เหลี่ยมแบน ๆ วางกองเกลื่อนกันอยู่ค่อนข้างมากก็ยิ่งดูแปลกตาดี


• White Planet 

…ก็หาอะไรถ่ายไปเรื่อย ๆ ก็เพลิน ๆ ดี แม้วิวทิวทัศน์อาจจะซ้ำ ๆ ไปบ้างเพราะมองออกไปก็จะมีแต่ลานน้ำแข็งที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว เห็นภูเขาไกล ๆ แรก ๆ อาจจะตื่นเต้นแต่ผ่านไปสักพักก็จะเริ่มถ่ายซ้ำไปซ้ำมา ฮ่าๆๆๆ


• Evening Sunshine 

…เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงยามเย็นรถก็กลับมาถึงบริเวณ Shaman Rock ที่แหลม Burkhan Cape ที่เดียวจุดเดียวกับที่เมื่อเช้ามารอแสงตอนพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง แต่ตอนนี้เราไม่ขึ้นไปด้านบนแล้วเปลี่ยนมาเดินเล่นที่ด้านล่างบ้างเพื่อจะได้ภาพที่ไม่ซ้ำแบบเดิม ๆ .. โดยรวมก็ถือว่าโอเคเดินเล่นได้เรื่อย ๆ อากาศหนาวเย็นแบบกำลังดีไม่สะท้านมากเท่าไหร่นักเพราะลมไม่ค่อยมีกับช่วงที่มา

…เป็นอันว่าผ่านพ้นไปกับวันแรกแบบเต็ม ๆ ที่ทะเลสาบไบคาล โดยรวมถือว่าโอเคมาก ๆ หากตัดเรื่องการถ่ายรูปไป เอาแค่เรื่องเที่ยวเรื่องได้เห็นอะไรใหม่ ๆ นี่ถือว่าอเมซิ่งมากเพราะเหมือนเราได้หลุดมาอยู่อีกโลกนึงเลยก็ว่าได้ เพราะสภาพแวดล้อมมองไปทางไหนก็จะเห็นแต่สีขาว ๆ รอบตัวเราไปหมด บวกกับสภาพภูมิประเทศที่มีทั้งแนวหน้าผาแนวหินยิ่งช่วยให้เราสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติบวกกับความมหัศจรรย์ที่นึกภาพว่าตอนนี้เรากำลังเหยียบผืนน้ำทะเลสาบอยู่แต่เป็นน้ำแข็งที่ทำให้เราสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก ซึ่งต่างไปจากปกติที่จะเป็นเรือในการเดินทางไปยังแต่ละจุดของทะเลสาบ…

…ทะเลสาบไบคาลวันแรกก็สิ้นสุดไปนอนพักเอาแรง เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าตรูเพื่อไปยังจุดไฮไลท์รอแสงเช้ายังด้านใต้ของเกาะ..


• Sunrise at Dragon’s Tail 

…การต้องมาตื่นตีห้าครึ่งนั้นเป็นอะไรที่ทรมานมากสำหรับผม ไม่เว้นแม้จะรู้ว่าจะได้ออกมาเที่ยวแต่พอจะต้องลุกจากที่นอนทีไรก็ทำใจไม่ได้ทุกที.. กลางคืนไม่หลับไม่นอนมัวแต่เล่นเกมส์ ตื่นเช้าทีไรก็งัวเงียตลอดนี่ก็นานกว่าจะยอมลุกจากเตียงมาอาบน้ำล้างหน้าเพื่อเตรียมออกไปรอแสงเช้าที่จุด Dragon’s Tail ตามภาพ.. รถมารับเราที่หน้าที่พักตอนประมาณ 6 โมงเช้าถ้าจำไม่ผิด จากนั้นก็ใช้เวลานั่งรถไปอีกประมาณ 30 นาทีก็ถึงจุดนี้ (เป็นสามสิบนาทีที่อยู่บนรถแล้วสัปหงกแบบเมามันส์มาก) จนรถจอดก็มองหาทำเลหามุมถ่ายภาพ ซึ่งเอาจริง ๆ มุมโดยรอบ ๆ หางมังกรนี้หากถ่ายก็จะได้รูปทรงของเกาะที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแตกต่างกันไป แต่เค้าว่ากันว่ามุมนี้จะเห็นเป็นหางมังกรมากที่สุด 

…สรุป ตื่นตีห้าครึ่ง / รถมารับหกโมง / ถึงจุดนี้หกโมงครึ่ง / รอแสงพอได้หน่อยในภาพนี่ก็ประมาณเจ็ดโมง / อยู่ถ่ายเล่นบริเวณนี้ถึงประมาณแปดโมงก็กลับ / แล้วไปไหนต่อ ?? ก็กลับที่พักนั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ (หรือใครจะตกลงกับคนขับให้เที่ยวต่อเลยก็แล้วแต่) เพราะตามหลักคือคนขับเนี่ยจะมีกฏให้ขับรถได้ 8 ชั่วโมง ซึ่งเดิมทีของเรานัดไว้ 10.00 โมง ก็จะไปจบที่เวลาประมาณ 18.00 น. แต่สำหรับเช้านี้เราเพิ่มให้พิเศษเพื่อมาที่จุดนี้โดยเฉพาะซึ่งก็จะต้องจ่ายพิเศษเพิ่มให้ต่างหากไม่เกี่ยวกับค่านำเที่ยวต่อวัน.. ถ้าถามว่าคุ้มมั้ยกับเงินที่เพิ่มไปแล้วได้มาถ่ายแสงเช้าตรงนี้ ผมว่าก็โอเคนะ .. เพราะมันเป็นไฮไลท์หนึ่งที่ไม่น่าพลาด หรือไม่อย่างนั้นถ้าใครไม่ซีเรียสว่าต้องแสงเช้าที่นี่ก็ระหว่างวันมาแวะที่นี่ก็ได้จะได้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม…


• 2nd Day at Lake Baikal 

…อย่างที่บอกไปว่าเราถ่ายรูปแสงเช้าที่ Dragon’s Tail ถึงประมาณ 8 โมงก็กลับถึงที่พัก 8.30 น. กินข้าว เตรียมสัมภาระเสบียงอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เผื่อกินเล่นระหว่างวันรอรถมารับอีกทีก็ 10.00 น. จากนั้นก็ออกเที่ยวกันอีกครั้ง ซึ่งวันนี้จะเป็นการขับลงมาทางตอนใต้ของทะเลสาบบ้าง และจุดชมวิวแรกที่คนขับรถพามาก็คือด้านบนเขานี้ตอนประมาณสิบโมงกว่า ๆ แสงแดดวันนี้โอเคเลยมีสีฟ้า ๆ ของท้องฟ้าให้เห็นพอสมควรก็พอดีใจขึ้นมาเยอะต่างไปจากเมื่อวาน


• 2nd Day at Lake Baikal 

…จากจุดชมวิวแรกที่คนขับพาเราไปชมวิวสวย ๆ กว้าง ๆ ตอนนี้ก็มายังอีกจุดหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนมากัน ฮ่าๆๆๆ ลักษณะเป็นเหมือนสวนซากหิน ซึ่งหากถามว่าตรงจุดนี้สวยมากไหมก็อาจจะไม่เท่าไหร่แต่ก็ดูแปลกตาเท่ไปอีกแบบเพราะอย่างน้อยก็ทำให้เห็นให้รู้ว่าที่นี่ไม่ได้มีแต่น้ำแข็ง และหิมะเท่านั้น ยังมีจุดชมวิวแบบอื่น ๆ ให้เราได้เห็นอีกด้วย


• Viewpoint at Ogoy Island 

…ต่อกันไปสามจุดรวดก่อนอาหารกลางวันมากันที่ Ogoy Island จุดชมวิวที่เป็นอีกไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมากัน แต่ต้องออกแรงเดินกันอีกสักหน่อยเพื่อมาถึงด้านบนของสถูปเจดีย์ที่สร้างไว้บนเกาะแห่งนี้ จากภาพแรกเมื่อมองต่อไปด้านหน้าก็จะเห็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดไป ซึ่งนั่นก็คือจุดที่เรามาเมื่อเช้า Dragon’s Tail ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน… 

…ส่วนจุดนี้ด้านบนเจดีย์ก็เป็นมุมมองแบบ 360 องศา เลือกมุมถ่ายกันเดินกันให้เพลินติดต้นไม้บ้าง ติดหัวคนบ้างก็เลี่ยง ๆ หลบ ๆ กันไป.. เดินขึ้นมาด้านบนเรียบร้อยแล้วยังพอเหลือเวลาหน่อยคนขับก็พาลงไปด้านล่างให้เราถ่ายรูปเล่นด้านล่างอีกพักนึงจากนั้นก็เตรียมเดินทางไปยังจุดพักเบรกสำหรับอาหารกลางวันต่อไป


• Razvaliny Zamka Cliffs Viewpoint 

…จากนั้นก็มาต่อกันที่จุดชมวิวอีกหนึ่งจุดเท่ ๆ ที่นั่งรถกันต่อมาก่อนที่จะเดินเท้าไต่ระดับความสูงขึ้นมาอีกสักเล็กน้อยพาตัวเองมายืนเท่ ๆ อยู่บนก้อนหินด้านบน.. ลมก็แรง รูปก็อยากได้ ขึ้นไปยืนหยิบกล้องส่องแล้วมองลงมารู้เลยว่าโลกนี้มันช่างกว้างใหญ่จริง ๆ.. ส่วนชื่อของจุดชมวิวนี้ก็ตามที่จั่วหัวไว้เลย ส่วนความสวยงามบริเวณนี้อาจไม่มีอะไรมาก แต่แนะนำสำหรับใครที่มีเวลาพอก็น่าจะแวะมาสักหน่อยเพราะวิวด้านบนเมื่อมองลงไปด้านล่างแล้วมันอลังการจริง ๆ ด้วยทั้งขนาดพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้วความงดงามของเกาะแก่งรวมทั้งผืนทะเลสาบน้ำแข็งสีขาวด้านล่างยิ่งเป็นตัวขับความงามให้เราได้เห็นความลงตัวของธรรมชาติที่สร้างสรรค์ไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ 


• Amazing World 

…แน่นอนว่าการเดินทางไกลได้ออกไปเห็นสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งเราก็รู้สึกว่าเหมือนตัวเองหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง และที่นี่ทะเลสาบไบคาลก็คืออีกหนึ่งการเดินทางที่รู้สึกว่าตัวเองได้หลุดไปอยู่ดินแดนไหนสักที่ที่ช่างต่างไปจากโลกใบเดิม ๆ อาจด้วยเพราะวิวทิวทัศน์สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวที่มันขาวไปซะหมดด้วยช่วงเวลาแห่งน้ำแข็งแบบนี้ และเมื่อความร้อนมาทุกอย่างที่นี่ก็จะกลายสภาพกลับไปเป็นสีเขียวสีสันปกติเหมือนเดิม


• Goodbye Lake Baikal 

…ปิดท้ายแสงยามเย็นอีกวันที่ไบคาลก่อนจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น..


• I will be Back One Day 

…สรุปทริปนี้เป็นอีกทริปการเดินทางที่ประทับใจมาก ๆ ด้วยสภาพอากาศที่ขีดสุดแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ดี ด้วยคนที่มาด้วยก็ดีที่เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องด้วยกันทั้งนั้น และเหนือสิ่งอื่นใดความสมูธตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพ > เอียร์คุตส์ > นอนเอียร์คุตส์ > แวะช๊อปปิ้งตัวเมือง > ออกไปเที่ยวเมืองใกล้ ๆ ที่ Listvyanka > เดินทางต่อมายังไบคาล > แล้วก็กลับไปเอียร์คุตส์ > กลับเมืองไทย… ส่วนหนึ่งยกความดีความชอบให้กับแกนนำหลักจ่าฝูงของพวกเราเจ้าของเพจ “แบกเป้เท่ทั่วโลก” https://www.facebook.com/TummengTravel …และอีกหนึ่งคนที่คอยช่วยประสานเรื่องที่พักการเดินทางได้แก่เจ้าบ้านอย่างมิสเตอร์แจ๊ค Jack Sheremetoff (facebook.com) ใครสนใจก็แอดเฟซทักไปได้ …

…ความสวยงามและน่าอัศจรรย์ของทะเลสาบไบคาลนั้นก็คงหนีไม่พ้นช่วงเวลาที่ผืนทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งนี่แหละ เพราะหากจะได้เดินทางทั้งทีเราเองก็อยากหาสถานที่ไหนที่มันแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปจากที่เคยเห็น นอกจากจะได้เปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางแล้วการได้ใส่เส้นทางให้กับชีวิตตัวเองได้เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมนั้นก็เป็นอีกเรื่องที่คนเดินทางน่าจะต้องการเหมือน ๆ กัน.. ผ่านมาจะครบปีพอดีเพราะการเดินทางครั้งนี้ไปมาตอนกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2020 นี่เขียนอัลบั้มนี้เสร็จถึงตรงนี้ก็ช่วงโควิด-19 กำลังท๊อปฟอร์มอีกครั้งตั้งแต่ต้นปีปีใหม่ 2021 … ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 มาแล้วฉีดได้เมื่อไหร่ จะออกเดินทางได้เมื่อไหร่ถึงวันนั้นก็อยากจะกลับไปที่นี่อีกสักครั้ง… จะไปเก็บภาพบางส่วน ภาพบางอย่างที่ยังขาดหายไปจากทริปนี้… แล้วไว้เจอกันสักวันนะทะเลสาบไบคาล…

…เรื่อง / ภาพ : Forzanu เที่ยวผ่านเลนส์ / Forzanu Foto (facebook.com)

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

Facebook Comments
Please follow and like us:
20